พันธมิตรในการจัดจำหน่ายสินค้า

เด็กหลังห้องในอาเซียน


เมื่อคืนผมได้มีโอกาสนอนดูข่าวทางทีวีช่องหนึ่งนำเสนอสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับความคืบหน้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Community) โดยในสกู๊ปมีการนำเสนอเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรวมกลุ่มกันระหว่าง 10 ประเทศในอีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงความกระตือรือร้นของประเทศสมาชิกต่อการรวมตัวครั้งนี้  และความตื่นตัวของนักลงทุนต่างชาติที่เตรียมตัวที่จะกระโดดเข้ามาลงทุนในอาเซียน

aseanlogoหลังจากนั่งดูไปสักระยะ ภายในสกู๊ปเสนอเกี่ยวกับความแตกต่างและความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของในแต่ละประเทศ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบประเทศสิงคโปร์ กับ พม่าแล้วนั้น ความแตกต่างยิ่งจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเลยทีเดียว และแล้วผมก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า 10 ประเทศอาเซียนจะรวมตัวกันได้จริงๆ หรือจะเป็นแค่เพียงในรูปของนโยบาย? ส่วนทำถามที่เหลือก็พรั่งพรูตามกันออกมา ทั้งในเรื่องของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่เตรียมตัวกันอยู่ทุกวี่วัน ว่าตกลงแล้วจะมีคนชาติอื่นๆเข้ามาแย่งงานเราจริงไหม เรายังคงต้องกระเสือกกระสนหาช่องทางเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในอาเซียนต่อไปไหม แล้วระบบเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ไหม ภาษีขาเข้า-ขาออกจะเป็นอย่างไร แต่มีคำถามหนึ่งติดอยู่ในหัวผมตลอดว่า พม่า ประเทศที่หลายๆคนเชื่อว่าล้าหลังที่สุดในอาเซียน เขามีการเตรียมตัว และมีการบริหารจัดการประเทศอย่างไร แล้วถ้าเด็กโข่งอย่างพม่าต้องรวมกลุ่มกับเด็กเก่งอื่นๆอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอีก 5 ประเทศที่เหลือแล้วนั้น พม่าจะทำตัวอย่างไร จะยอมนั่งหลังห้องเป็นที่โหล่ หรือจะผลักดันตัวเองแซงเพื่อนคนอื่นๆกันแน่ ซึ่งสุดท้ายเมื่อคำถามคาใจจนทำให้นอนไม่หลับ ก็เลยต้องลุกมา google ดูซะหน่อยว่าเด็กชายพม่ามีแผนจะจัดการตัวเองอย่างไร

แต่สิ่งที่ผมได้จาก google นั้นทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเด็กชายพม่าจะเป็นเด็กโข่งอยู่หลังห้องแล้วจริงๆ ถึงแม้พม่าและสิงคโปร์จะยังคงมีความแตกต่างกันมาก และหลายคนมองว่าพม่าล้าหลังไทยอยู่หลายช่วงตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างอาจจะไม่แน่เสมอไปก็ได้ เพราะตั้งแต่การเลือกตั้งปลายปีmap พ.ศ. 2553 พม่าก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง และก็สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับนักลงทุนได้ไม่น้อย แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนยังหวั่นๆอยู่ก็คือปัญหาด้านการเมืองและความมั่นคง รวมไปถึงด้านการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่ ดังเช่นที่ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์, ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในหนังสือ เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในพม่าว่า ‘การพัฒนาเศรษฐกิจของพม่า แม้จะมีทิศทางและแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต ตลอดจนมีแนวนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนและการค้าที่แน่นอน  หากแต่ปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน และโครงสร้างการบริหารจัดการและการดำเนินงานของระบบราชการ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสัมพันธภาพกับเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ดูจะเป็นอุปสรรคและปัญหาสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ’ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพม่าจัดการขจัดความกังวลของนักลงทุนในส่วนนี้ออกไปได้ เราก็จะได้เห็นการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจของพม่าได้เช่นเดียวกัน

ในด้านการจัดการ พม่ามีการวางนโยบายและกลยุทธ์ไว้ในหลายๆด้าน เช่น การวางนโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมผลผลิต และสนับสนุนสินค้าส่งออกภาคเกษตร เพราะแรงงานในประเทศกว่าร้อยละ 60 อยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยรัฐบาลมีบทบาทในการเข้าไปมีส่วนช่วยดูแลสนับสนุนเกษตกรอย่างใกล้ชิด ส่วนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม รัฐบาลพม่าวางนโยบายแผนบริหารจัดการ 30 ปี ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญที่จะขยับขยายภาคอุตสาหกรรมเข้าไปแทนที่ภาคเกษตร โดยการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมขึ้นทั่วประเทศ และสนับสนุนการลงทุนร่วมกับต่างชาติเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมใหญ่ที่จะนำพาเงินทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าสู่ประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลพม่ายังมีนโยบายเพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวและบริการโดยมีแผนจะขยายและปรับปรุงเขตพื้นที่ท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลยังไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ในหลายๆเขตอันสืบเนื่องมาจากเรื่องของความมั่นคงนั่นเอง

สุดท้ายแล้วผมก็ได้รู้ว่าเด็กชายพม่าไม่ได้ยอมนั่งหลับหลังห้องเหมือนนักศึกษาไทยหลายๆคน แต่เขากำลังเตรียมตัว และรอโอกาสที่จะขยับขึ้นเป็นเด็กหน้าห้องแทนที่เพื่อนๆหลายคน ซึ่งพอมาถึงตอนนี้แล้วคำถามต่างๆเกี่ยวกับประเทศพม่าก็หายไป แต่เกิดความกังวลกับอีกประเทศแทนที่ว่า “เรา” เตรียมพร้อมพอแล้วหรือยัง?

 

ผู้เขียน: อ.ปวริศร์  มาเกิด, อาจารย์ประจำสาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ)

Rajamangala International Business Administration Rattanakosin (RIBAR)


 

มุมมองนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลมองการศึกษาในศตวรรษที่ 21

 


เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556 ผมมีโอกาสได้เข้าฟัง lecture พิเศษ ของ Sir Harold Walter Kroto ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากการค้นพบ สารประกอบคาร์บอนชื่อว่า Fullerences หรือ C60 เมื่อปี 1996 การมาของ Sir Kroto ครั้งนี้เป็นหนึ่งในโครงการของ International Peace Foundation ซึ่งจะนำผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆมาบรรยายปาฐกถาที่มหาลัยวิทยาลัยหรือสถานศึกษาต่างๆและทำโครงการเพื่อการสื่อสารสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกันเพื่อสันติภาพ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า lecture อันนี้ไม่ใช่ lecture เกี่ยวกับสูตรเคมียากๆแต่อย่างใด แต่เป็น lecture เกี่ยวกับมุมมองของ Sir Kroto เองที่มีต่อการศึกษา KROTOHIGHREZSir Kroto บอกว่าการเรียนคอร์สต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการศึกษา ส่วนการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการมีเพื่อนฝูง การพูดคุยกับผู้อื่น คือสิ่งสำคัญ ส่วนภาระสำคัญของอาจารย์นั้น Sir Kroto บอกว่า main task of teacher is to unlock creativity คือการปลดปล่อยจินตนาการของเด็กออก หรือการสอนให้เด็กคิดเองเป็นนั่นเอง

Sir Kroto ก็ชี้ให้เห็นตัวอย่างของการศึกษาปัจจุบันที่กำลังไปผิดทางว่า ทุกวันนี้ทุกคนเชื่อว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ อย่างไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน ว่าทำไมมันถึงหมุนรอบดวงอาทิตย์ เราแค่เชื่อตามสิ่งที่เรียนมา หรือสิ่งที่คนอื่นบอกมาอย่างไม่สงสัย ความมีอิสระในการสงสัย หรือ Freedom to doubt ของเรากำลังถูกคุกคามอยู่

ตลอดทั้ง lecture Sir Kroto ก็จะโชว์สิ่งที่เขาสะสม เช่น Sir Kroto ชอบสะสมโปสการ์ดแจกฟรี หรือตัดรูปภาพสวยๆเอาจาก Magazine แล้วก็เก็บไว้ นอกจากสิ่งที่สะสม Sir Kroto ก็ยังชอบดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีตาร์ ชอบออกแบบโลโก้ แล้วก็เคยส่งโลโก้ที่ตัวเองออกแบบไปจนได้รางวัล Sir Kroto บอกว่าสิ่งเหล่าเนี่ยแหละที่ทำให้เขาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้ คือเขาเรียก Process นี้ว่า Synthesis คือการเชื่อมสิ่งต่างๆเขาด้วยกันแล้วเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้น โดย Sir Kroto ก็ยกคำของ Picasso มาที่บอกว่า “Good artists copy, great artist steal”

แล้ว Sir Kroto ก็จบ Lecture หน้าสุดท้ายที่ภาพลิงเหมือนกำลังทำท่าสงสัยอะไรอยู่

 

ผู้เขียน: อ.รพีภัทร มานะสุนทร, อาจารย์ประจำสาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ)

Rajamangala International Business Administration Rattanakosin (RIBAR)